Real X Illusion [Chapter: Real]
การช่วยคนเป็นสิ่งเลวร้ายงั้นเหรอ... ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมล่ะ ทำไมทุกคนถึงไม่ชอบในสิ่งที่ฉันทำ ทำไมทุกคนถึงเกลียดฉัน... "ฉันก็แค่อยากช่วยคน"
ผู้เข้าชมรวม
335
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Prologue
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วยกลิ่นของดินปืนที่โชยแตะจมูกทุกคนในที่นั้น ไม่นานดวงไฟสีแดงมากมายก็กระพริบขึ้นพร้อมกัน เสียงหวีดแสบแก้วหูกระแทกโสตประสาทของใครหลาย ๆ คนจนรู้สึกตัวถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
"จับมันไว้! อย่าให้หนีไปได้!"
ชายในชุดสีขาวตะโกนเสียงดังพลางชี้นิ้วไปที่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งอยู่บนทางเดินแคบ ๆ เพียงครู่เดียวก็ปรากฏตัวชายร่างใหญ่สามคนพากันวิ่งตามเธอ ทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้า ด้วยคิดว่านี่เป็นเพียงงานง่าย ๆ
"ทำไมมันวิ่งเร็วอย่างนี้"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มโพล่งออกมาก่อน พวกเขาวิ่งตามเธอสุดกำลัง หากแต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถไปถึงตัวอีกฝ่ายได้ เด็กสาวขยับห่างจากพวกเขาออกไปเรื่อย ๆ
"ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยหรือไงนะ"
ชายอีกคนพูดขึ้นบ้าง เมื่อรู้สึกตัวว่าแรงใกล้หมดแล้ว ความเร็วในการวิ่งตกลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างกับเด็กสาวที่ยังวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิมโดยไม่แสดงท่าทีเหนื่อยล้า
"คนหรือหุ่นยนต์กันแน่"
ชายคนสุดท้ายกล่าวขณะที่ฝีเท้าของพวกเขาหยุดลง ทั้งสามใช้แรงไปมากจนต้องนั่งลงหอบหายใจ สายตาจ้องมองเด็กสาวที่วิ่งผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ออกไปแล้ว
ติ๊ก ติ๊ก
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมด้วยแสงสีแดงจุดเล็ก ๆ กระพริบอยู่บนพื้นไม่ห่างจากพวกเขา
"เสียงอะไรน่ะ"
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
"ทำไมมันถึงดังถี่กว่าเดิม หรือว่า !"
ตูม!
Chapter: Real
ตึกเล็กใหญ่มากมายตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งของถนน ผู้คนแออัดเดินสวนกันบนทางเท้าอันคับแคบ ไม่ต่างกับยานพาหนะบนถนนที่มีมากจนการจราจรติดขัดตลอดวัน
นี่เป็นเมืองหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่ต่างจากเมืองหลวง ด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกจำนวนมาก ทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าชื่อดังหลายแห่ง
จนบัดนี้ ยังมีน้อยคนนักที่รู้ ว่าเบื้องหลังโรงงานอันใหญ่โตนั้นมีอะไรซ่อนอยู่
เว้นเพียงตัวฉัน
ฉันกำลังเดินอยู่บนถนนเล็ก ๆ สายหนึ่ง แม้ฉันจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก ก็ไม่มีใครนึกสงสัยหรือหันมามองฉันแม้แต่น้อย ทุกคนมัวแต่คิดเรื่องของตัวเอง ก้าวเดินบนเส้นทางของตัวเอง จนไม่มีเวลาสนใจผู้อื่น เมืองที่มีความเจริญเช่นนี้ทำให้ค่าครองชีพสูงตามไปด้วย ของทุกอย่างก็ราคาแพงขึ้น ในขณะที่เงินเดือนของอาชีพต่าง ๆ ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
ทุกคนจึงต้องดิ้นรนทำงานหนัก เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดในสังคมอันล้ำสมัยแห่งนี้ พวกเขาเลือกที่จะทำงานจนดึก ๆ ดื่น ๆ แลกกับชีวิตอันสุขสบายในวันข้างหน้า และตัดสินใจละทิ้งผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาไปในเวลาเดียวกัน
ฉันก็เป็นคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่ชอบชีวิตแบบนี้สักเท่าไหร่ แม้ตัวฉันเองจะไม่เกี่ยวข้องกับมันเลยก็เถอะ ชีวิตคนที่ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์น่ะเหรอ ช่างไร้สาระ ใช้ชีวิตแบบนี้แล้วจะมีความสุขได้ยังไง
บางที ฉันที่เป็นหุ่นยนต์แบบนี้ อาจจะดีกว่าก็เป็นได้
ภายนอกฉันก็ดูเหมือนเด็กสาวทั่วไป มีร่างกาย มีความคิดอ่าน แต่ถ้าใครได้เห็นสิ่งอยู่ภายใต้ผิวหนังของฉันแม้แต่นิดเดียว คงรู้ได้ไม่ยากว่าฉันไม่ใช่มนุษย์
ฉันถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ภายใต้ชื่อโปรเจ็คว่า 'เมทริออน' พวกเขาสร้างหุ่นยนต์เพื่อใช้ตามจุดประสงค์ของผู้ว่าจ้าง ซึ่งจุดประสงค์ของผู้ว่าจ้างสำหรับตัวฉันก็คือ 'การบรรจุนิวเคลียร์'
ในตัวฉันมีระเบิดลูกยักษ์กำลังนับถอยหลังอยู่ ฤทธิ์ของมันสามารถทำให้เมืองทั้งเมืองแหลกเป็นจุลได้ในการระเบิดเพียงครั้งเดียว มันสามารถเป็นได้ทั้งระเบิดเวลาและระเบิดแบบกดสวิตช์ หากไม่มีใครกดระเบิด ระเบิดจะทำงานเองในระยะเวลาห้าปี ซึ่งสวิตช์ระเบิดก็คือตัวฉัน ฉันสามารถบังคับให้ระเบิดทำงานได้ แต่ไม่สามารถบังคับให้ระเบิดไม่ทำงานเมื่อครบห้าปีได้
พวกเขาติดอาวุธให้ฉันมากมาย ในตัวฉันมีอาวุธทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรงซ่อนอยู่ เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาหยุดยั้งการระเบิด มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ฉันสามารถฆ่าทุกคนที่ฉันไม่ต้องการได้ถ้าฉันคิดจะทำ แม้แต่การฆ่าคนทั้งเมือง
ทุกอย่างในตัวฉันล้วนเกิดผลดีกับพวกเขาทั้งหมด หากยังมีสิ่งหนึ่ง ที่พวกเขาทำผิดพลาด
นั่นคือ การสร้างฉันให้มีความรู้สึก ให้มีสมองคิดอ่านเหมือนมนุษย์ทั่วไป
และเพราะฉันมีความคิด ฉันจึงตัดสินใจหนีออกมาจากห้องทดลองอันคับแคบนั่น พวกเขาต้องออกตามล่าตัวฉันอย่างแน่นอน ด้วยว่าเป็นหุ่นยนต์เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาทดลองใส่ความคิดอ่านให้
แต่ทำไมกันนะ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ฉันยังไม่พบคนที่ออกตามล่าตัวฉันเลย ถึงอย่างไรฉันก็ต้องระวังตัวให้มาก เพราะพวกนั้นอาจปรากฏตัวขึ้นตอนไหนก็ได้ ยังดีที่ฉันไม่ใช่มนุษย์ ไม่อย่างนั้นฉันต้องใช้เวลาพักผ่อน และเวลานั้นแหละที่อันตรายมากที่สุด
จะไปซ่อนตัวอยู่ที่เดียวก็คงไม่ดี ไหน ๆ ฉันก็หนีออกมาได้แล้ว และรอบตัวฉันก็มีแต่มนุษย์ที่ไร้ความสุข
ลองสร้างความสุขให้พวกเขาดูสักครั้งดีไหมนะ
คิดได้ดังนั้นฉันจึงออกเดิน
================|
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม ยิ่งในเวลานี้บนทางเท้าก็ยิ่งเต็มไปด้วยผู้คน ฉันพยายามมองหาคนที่ดูมีความทุกข์ แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ อาจเป็นเพราะฉันเองเพิ่งเคยได้ออกมาพบปะผู้คน จึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าท่าทีแบบไหนแสดงความทุกข์ และท่าทีแบบไหนแสดงความสุข
หรือเพราะคนแออัดยัดเยียดทำให้ฉันดูไม่ออกกันนะ ถ้าลองไปที่ที่มีคนน้อย ๆ เราอาจจะเจอก็ได้
ฉันพอจำที่ตั้งของสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองนี้ได้บ้าง หลังจากเดินหลงทางไปมาอยู่หลายวัน แม้สมองของฉันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดจดจำทุกอย่างได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ด้อยกว่ามนุษย์สักเท่าไหร่
ที่ไหนบ้างนะ ที่มีคนน้อยในเวลาแบบนี้ อืม ฉันพอรู้จักอยู่บ้าง ที่นั่นเป็นที่ที่มีพ่อแม่พาเด็ก ๆ ไปเล่นไม้กระดก หรือชิงช้าไม้เก่า ๆ และมีบ่อทรายไว้ให้ก่อปราสาททรายเล็ก ๆ พวกมนุษย์เรียกที่นั่นว่า 'สนามเด็กเล่น' หรือเปล่านะ
ลองไปดูสักครั้งคงไม่เสียหาย
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฉันก็มาถึงสนามเด็กเล่น ลานทรายเล็ก ๆ ที่มีเด็กคนหนึ่งพยายามก่อปราสาททราย ชิงช้าไม้อันว่างเปล่าไร้คนเหลียวแล ไม้กระดกสีแดงจาง ๆ ซึ่งบางจุดเริ่มหลุดลอกจนปรากฏสีไม้ด้านใน และม้านั่งสีขาวสะอาดซึ่งมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่
ฉันคงมาช้าไปหน่อย ในสนามเด็กเล่นเหลือคนไม่กี่คนแล้ว หากไม่นับฉันที่เพิ่งมาถึง ผู้ที่อยู่ในสนามเด็กเล่นก็มีเพียงสองคน แล้ววันนี้ฉันจะได้ช่วยเหลือใครสักคนไหมเนี่ย
ไม่แน่ว่า อาจต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ การรอคอยไม่ใช้เรื่องลำบากอะไรหรอกสำหรับฉัน แต่สำหรับคนที่กำลังมีทุกข์นี่สิ การที่ต้องทนทุกข์ไปอีกหนึ่งวันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก
หรือบางที เพราะฉันพยายามเข้าหาจึงไม่เจอคนที่มีความทุกข์ ลองหยุดแล้วนั่งลงตรงนี้ดูดีกว่า เผื่อว่าคนที่มีความทุกข์จะวิ่งเข้าหาฉันเอง
ไม่ทันที่ฉันจะเดินไปถึงม้านั่ง หญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ลานทรายซึ่งมีเด็กชายคนหนึ่งกำลังก่อปราสาททรายอยู่
"กลับบ้านได้แล้ว" หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นก่อน
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับไปสนใจกับปราสาททรายของตัวเองต่อ
"ไม่เอา ต้องให้ปราสาททรายของผมเสร็จก่อนผมถึงจะกลับ" เขาพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
"บอกให้กลับไงล่ะ! จะกลับมั้ย" หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียง แต่เด็กชายดูไม่ยี่หระกับเสียงตะคอก
" " เขายังคงก่อปราสาททรายของเขาต่อไป
และ
"โอ๊ย!" หญิงวัยกลางคนสติขาดผึงในที่สุด เธอใช้มือบีบปลายหูของเด็กชายเต็มแรง พร้อมกับลากออกไปนอกสนามเด็กเล่น ผู้มีวัยอ่อนกว่าร้องโอดโอยพลางตีมือที่ดึงหูของตนอยู่ ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดมหาศาล
"ถ้าดื้อแบบนี้อีก คราวหน้าจะไม่พามาสนามเด็กเล่นแล้วนะ" หญิงสาวบอกกับเด็กชาย โดยที่มือยังไม่หลุดจากปลายหูอีกฝ่าย
ฉันเจอคนที่กำลังมีความทุกข์แล้ว
เด็กชายคนนั้น เขากำลังเจ็บปวด อืม นั่นคงเป็นหนึ่งในความทุกข์สินะ แล้วฉันจะช่วยเขาอย่างไรดีล่ะ
คนที่ทำให้เขาเจ็บปวด คือ หญิงสาวคนนั้น
ถ้าจะทำให้เขาหายเจ็บปวด ก็ต้อง 'กำจัด' เธอคนนั้นสินะ
แล้วฉันจะรอช้าอยู่ทำไม!
เด็กชายหยุดร้องโอดครวญแล้ว คงเพราะตัวเขาตะโกนจนเสียงแหบแห้ง ความเงียบจึงเคลื่อนเข้าครอบคลุมพื้นที่บริเวณรอบ ๆ สนามเด็กเล่นอย่างรวดเร็ว
กริ๊ก ตุบ
เสียงสิ่งหนึ่งตกลงพื้น ท่ามกลางความเงียบงัน ทำให้ทั้งหญิงวัยกลางคนและเด็กชายหันมามองอย่างใคร่รู้
"กรี๊ด !" เธอกรีดร้องเสียงแหลมจนแสบแก้วหู ส่วนเด็กชายตาบิกโพลง ไม่มีเสียงใดหลุดออกมาจากปาก อะไรกัน เห็นของแค่นี้ก็ใจเสาะแล้วเหรอ
สิ่งที่อยู่บนพื้น ก็แค่ข้อนิ้วข้อสุดท้ายของนิ้วชี้เท่านั้นเอง
ฉันเป็นหุ่นยนต์นี่ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะแปลก แต่ ดีแล้วล่ะที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นหยุดชะงักได้ จะได้ฆ่าสบาย ๆ
เธอยังคงตกตะลึงกับข้อนิ้วของฉัน จนไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของนิ้ว และคงตกใจจนไม่ทันสงสัยว่า ข้อนิ้วนั้นไร้รอยเลือด
ใบหน้าของเธอแสดงความตื่นตกใจ ริมฝีปากค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับความเงียบที่มาเยือนอีกครา แม้ไม่เพ่งสายตาก็เห็นได้ว่าร่างกายของเธอกำลังสั่นระริก
ดวงตาคู่สีดำสนิทค่อย ๆ มองขึ้นมา จากเศษนิ้วบนพื้น สู่ต้นขาของฉัน บรรยากาศที่ไร้สรรพเสียงเช่นนี้ทำให้ดูราวกับเวลาเดินช้าลง
ได้เวลาแล้วสินะ ที่แกจะต้องตาย พร้อมกับความตกใจนั่น
ปัง!
เสียงอันเฉียบขาดดังขึ้นเพียงครั้งเดียว หญิงวัยกลางคนก็ลงไปนอนกองกับพื้น เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากร่างไร้วิญญาณ บางส่วนกระเซ็นไปเปรอะตัวเด็กชายผู้ยืนอยู่เคียงข้าง จนเสื้อสีขาวครีมของเขาปรากฏรอยแดงเด่นชัด
สมกับเป็นปืนความไวแสงของฉันจริง ๆ นี่แหละคือหนึ่งในอาวุธที่ฉันภูมิใจมากที่สุด อานุภาพของมันรุนแรงกว่าปืนพกร่วมสิบเท่า ความเร็วของกระสุนก็ไม่ได้น้อยหน้าปืนอื่นใด ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องถอดข้อนิ้วก่อนยิงล่ะก็ ฉันคงเลือกใช้มันบ่อยกว่านี้
"แม่! แม่! แม่จ๋า !" เด็กชายคุกเข่าตรงหน้าศพของหญิงวัยกลางคน เขากอดร่างนั้นแล้วร้องไห้โฮ น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
ทำไมกันล่ะ ทำไมถึงร้องไห้ ก็ฉันฆ่าคนที่ทำให้เกิดความทุกข์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ยิ้มล่ะ ดีใจสิ! ยิ้มซะสิ! หันมายิ้มให้กับฉันตอนนี้เลย!
นั่นไง หันหน้ามาทางฉันแล้ว เขาได้ยินสิ่งที่ฉันคิดหรือไงนะ
"ฆาตกร"
คำสั้น ๆ เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็ก สายตาที่มองมาทางฉันแสดงความเคียดแค้นอย่างเห็นได้ชัด
ฉันทำผิดเหรอ ก็ฉันทำให้เธอมีความสุขไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นด้วย! ทำไมต้องกล่าวหาว่าฉันเป็นฆาตกรด้วย!
ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
"ฆาตกร!" เขาย้ำคำเดิมเสียงดังฟังชัด
ฉันเป็นฆาตกรงั้นเหรอ ถ้าเป็นฆาตกร ก็ต้องฆ่าคนสินะ
ใช่แล้ว! งั้นแกก็ตายซะเถอะ เจ้าหนู
ปัง!
สิ้นเสียง ฉันจึงออกเดิน
================|
สองเท้าก้าวไปบนถนนสายว่างเปล่า พระอาทิตย์แห่งวันใหม่ใกล้ปรากฏขึ้นเต็มที หลายชั่วโมงแล้วที่ฉันเดินอยู่โดดเดี่ยวในเมืองอันใหญ่โตแห่งนี้ ยิ่งความมืดเข้าครอบคลุมน่านฟ้านานเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น
พร้อมกับความเงียบงันที่เคลื่อนเข้าแทนที่...
ฉันตัดสินใจทิ้งตัวลงบนม้านั่งสีขาวในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง บรรยากาศไร้ผู้คนเช่นนี้ทำให้ฉันเริ่มหวนคิดถึงอะไรหลาย ๆ อย่างที่ได้ประสบพบเจอ
เด็กชายคนนั้น ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงไม่ชอบการกระทำของฉัน
ทั้งที่ฉันแค่อยากช่วยให้หายเป็นทุกข์แท้ ๆ
ราวกับเวลาหยุดเดินกระทันหัน เสียงของเด็กชายที่พร่ำบอกว่าฉันเป็น 'ฆาตกร' ดังซ้ำไปซ้ำมาในโสตประสาท มันทำให้ฉันแทบจะเป็นบ้า! ทั้งที่ฉันไม่ใช่ฆาตกร แล้วทำไมเขาต้องกล่าวหาฉันด้วย!
แต่ ถึงมาคิดเอาตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ เขาตายไปแล้ว เขาตายด้วยฝีมือของฉัน
อดีตไม่สามารถเปลี่ยนได้ เรื่องนี้ฉันรู้อยู่แก่ใจ ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรกับมันได้แล้ว ก็มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
นั่งอยู่ตรงนี้ รอจนวันใหม่มาเยือน รอจนใครที่มีความทุกข์วิ่งมาหา คงจะดีกว่า
ไม่อยากให้เหตุการณ์ต้องซ้ำรอยอีกแล้ว
================|
ผู้คนเดินผ่านหน้าฉันไปมากมาย พระอาทิตย์ฉายแสงอยู่เหนือศีรษะ แสงแดดที่แผดเผาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของฉันทำด้วยเหล็กก็จริงอยู่ แต่ภายในนั้นมีการติดตั้งระบบปรับอุณหภูมิไว้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แบบไหนสภาพอากาศก็สร้างผลกระทบต่อฉันไม่ได้หรอก
ฉันนั่งอยู่ที่นี่นานพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่พบใครที่ฉันควรช่วยเหลือ ไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นทุกข์ แม้จะมีเม็ดเหงื่อโซมกาย การหาคนที่มีความทุกข์มันยากขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่ฉันเคยคิดว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยคนพวกนั้นแท้ ๆ
"ขโมยค่ะ! ขโมย! ใครก็ได้ช่วยจับที" เสียงแหลมสูงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ฉันรีบหันไปมองทางต้นเสียงทันที
พบชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมา มือจับกระเป๋าใบสีน้ำตาลดูมีราคาไว้แน่น และเจ้าของเสียง เป็นหญิงสาวใบหน้าเกลี้ยงเกลาคนหนึ่ง พยายามวิ่งตามชายเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ
"ช่วยจับขโมยหน่อยค่ะ!" ชายคนนั้นกำลังวิ่งมาทางฉันแล้ว!
ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันควรจะช่วยใครดีนะ..!
จากที่หญิงสาวตะโกนบอก เธอถูกขโมยของ และกระเป๋าในมือชายคนนั้นก็คงเป็นของที่เธอถูกขโมย อืม... ไม่แน่ว่า สิ่งที่หญิงสาวพูดเป็นเรื่องโกหก! เธออาจต้องการทำให้ผู้คนที่นี่แตกตื่นก็ได้!
ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเชื่อใครดีล่ะ แม้ชายคนนั้นจะเป็นขโมยจริง แต่เขาอาจต้องการเงินไปใช้ทำอะไรสักอย่างก็ได้ แม้แต่ชุดที่เขาใส่ยังเป็นชุดเก่า ๆ ต่างกับหญิงสาวที่ชุดสะอาดสะอ้าน และเต็มไปด้วยเครื่องประดับเพชรพลอย ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็รู้ว่าเป็นลูกคุณหนู!
คนที่ฉันควรช่วยต้องเป็นชายขโมยกระเป๋าแน่ ๆ คนเราถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ คงไม่กล้าขโมยของหรอก
กริ๊ก... ตุบ...
ฉันปลดข้อนิ้วเดิมออกอีกครั้ง เพราะมันเป็นอาวุธแรกที่ฉันนึกได้ในสถานการณ์คับขันแบบนี้
ชายคนนั้นวิ่งผ่านหน้าฉันไปแล้ว อีกไม่นานหญิงสาวลูกคุณหนูก็จะตามมา
แล้วพบกันใหม่โลกหน้า... ถ้าฉันมีโอกาสได้ตามไปล่ะก็นะ...
ปัง!
================|
เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ภาพของฉันก็ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ และปรากฏอยู่ในใบประกาศนำจับที่ถูกติดไว้ตามที่ต่าง ๆ ในเมือง
ดีที่เมื่อคราวก่อน หลังจากปืนความเร็วแสงของฉันลั่นไก ฉันก็รีบวิ่งหนีไปโดยไม่มีใครติดตามมา ขณะนี้ฉันซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ด้วยเงินที่ได้มาจากการใช้ปืนความไวแสงขู่ผู้คนยามค่ำคืน
ยิ่งเวลาผ่านไป ชื่อเสียงของฉันก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่ามันเป็นชื่อเสียงในทางลบ ทำไมกัน ทั้งที่ฉันแค่อยากให้คนมีความสุข แล้วทำไมเขาต้องตามจับฉันด้วยล่ะ
คนเมืองนี้ช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเลย!
ความสุขกับกฎหมายน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ไปกันได้หรอก!
ต่อให้เมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ผู้คนในเมืองเคร่งครัดต่อกฎระเบียบจนไม่มีความสุข มันก็ไม่ใช่เรื่องดี!
ถ้าไม่มีความสุข มนุษย์จะอยู่อย่างไรล่ะ
ถ้าคร่ำเคร่งกับกฎระเบียบ มนุษย์จะมีความสุขได้อย่างไร
ยิ่งในเมืองที่มีแต่กฎหมายเช่นนี้ ผู้คนจะอยู่ไปทำไม!
งั้นก็ตายกันซะให้หมด!
================|
ฉันกำลังยืนอยู่หน้าโรงแรมที่พัก ใครหลายคนมองมาทางฉันด้วยสายตาใคร่รู้ คงเพราะคุ้นหน้าฉันจากใบประกาศนำจับกระมัง
กริ๊ก ตุบ
ข้อนิ้วของฉันร่วงลงสู่พื้นดิน เรียกเสียงกรีดร้องจากผู้คนรอบข้างได้พอสมควร
จงตายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องนั่นแหละ!
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นติด ๆ กัน พร้อมกับร่างคนสามคนที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น
แผ่นเหล็กที่ปิดส่วนหน้าผากของฉันค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นรูกลม ๆ สีดำสนิทด้านใน ควันค่อย ๆ กระจายออกมาจากรูนั้น ลอยขึ้นไปในอากาศ กัดกินพื้นที่ของออกซิเจนให้ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
"อุ๊บ " ชายคนหนึ่งพยายามเอามือปิดจมูก แต่ไม่ทันเสียแล้ว เขาล้มลงไปนอนชักดิ้นชักงอบนพื้น ก่อนจะหยุดนิ่งไปในที่สุด
ใช่แล้ว นี่คือหมอกพิษ หนึ่งในสองอาวุธของฉันที่สามารถฆ่าคนได้เป็นวงกว้าง มันมีข้อเสียคือไม่สามารถกำหนดเป้าหมายได้ ฉันจึงไม่อยากใช้มันเท่าไหร่ถ้าไม่ต้องการฆ่าคนไม่เลือกหน้า
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หมอกพิษนี่แหละ เป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุด!
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังควบคู่ไปกับการกระจายของหมอกมรณะ เรียกเลือดจากทั้งศพและคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่น้อย จนผู้คนเริ่มบางตาลง จำนวนศพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แม้จะมีพวกทหารสวมหน้ากากป้องกันก๊าซเข้ามา หมอกพิษของฉันก็สามารถแทรกซึมผ่านเนื้อวัตถุไปเข้าจมูกคนเหล่านั้นได้ ไม่อย่างนั้นก็โดนกระสุนความเร็วแสงเจาะทะลุเข้าไปในชุดเกราะตายก่อน
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะ แต่ไม่นานก็เงียบไป เพราะเจ้าของเสียง ไม่สามารถร้องได้อีกแล้ว
คนมากมายล้มลงไปนอนกองกับพื้น บางคนตัวชุ่มเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงสด แต่บางคนก็ไม่มีแม้สักหยด ร่างกายไร้รอยแผล ราวกับนอนหลับไป แท้จริงร่างสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือร่างกายอันสะอาดไร้สิ่งเปื้อน วิญญาณนั้นได้อันตรธานไปตั้งแต่สูดหมอกพิษแล้ว
หากนี่เป็นการฆาตกรรมหมู่ ก็คงเป็นการฆาตกรรมที่ใช้คนน้อยที่สุด และฆ่าคนไปมากที่สุดเมื่อเทียบกับการฆาตกรรมโดยใช้คนเท่า ๆ กัน
ฉันไม่เคยคิดหรอก ว่านี่เป็นการฆาตกรรม เพราะฉันเพียงต้องการทำลายคนที่ขาดความยุติธรรมเท่านั้นแหละ!
ไม่ต่างอะไรกับการกำจัดขยะ
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ฉันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ให้กับศพของผู้ไร้ความยุติธรรมเหล่านี้ หลับให้สบายเถิด มนุษย์ผู้ขลาดเขลา แล้วไปตื่นขึ้นในนรกภพหน้า!
รอบตัวฉันถูกย้อมด้วยสีแดงสด เลือดกระเซ็นออกมาจากร่างไร้วิญญาณทุกครั้งที่กระสุนความไวแสงพุ่งเข้าใส่ ช่างสวยงามจริง ๆ สีแดงนั่น ราวกับเป็นการตกแต่งเมืองให้โดดเด่นด้วยสีสดน่าจับตา
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง หมอกพิษยังถูกใช้ต่อไป ตอนนี้มันคงครอบคลุมทั้งเมืองเรียบร้อยแล้ว และทุกคนในเมืองก็คงตายไปหมดแล้ว ได้เวลาหยุดแล้วสินะ
ฉันกำลังจะก้มลงเก็บข้อนิ้วขึ้นมาต่อเหมือนเดิม แต่แล้วด้วยสัญชาตญาณก็สั่งให้ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมา!
ใครสักคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่..!
ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ฉันรู้สึกได้ ถึงคน ๆ นั้น ทำไมเขายังไม่โดนผลของหมอกพิษอีกนะ หรือหมอกพิษของฉันใช้การไม่ได้แล้ว
อะไรบางอย่างสีฟ้า! กำลังพุ่งมาด้วยความเร็วสูง!
ตูม!
ร่างของฉันกระเด็นไปตามแรงระเบิด เมื่อกี้นี้มันอะไรกันแน่ เร็วจนฉันที่มีประสาทรับรู้สูงกว่ามนุษย์หลายเท่าตัวยังหลบไม่ทัน
แต่ ของแค่นี้ก็สร้างแรงดันเท่านั้นแหละ ไม่ทำให้ฉัน
อะไรกัน! มือของฉันร้าว! แม้แต่ระเบิดมือลูกหนึ่งยังทำอันตรายไม่ได้เลย แล้วทำไม..!
"แกเองรึ ต้นเหตุของเรื่องนี้!" เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที
ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนห่างจากฉันไปไม่กี่เมตร ผมสั้นสีน้ำตาลลู่ไปด้านหลังทันทีที่ลมพัดผ่าน มือกระชับปืนสีเงินแวววับ ดาบสีดำสนิทเล่มหนึ่งถูกสะพายไว้ด้านหลัง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัย เมื่อครู่นี้ยังไม่เห็นเขาเลยนี่น่า แล้วเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ !
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่เนิ่นนาน ไม่มีใครปริปากหรือเคลื่อนไหวใด ๆ ดวงตาสีดำสนิทของฉันประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสของอีกฝ่าย ท่ามกลางศพนองเลือดมากมายเต็มถนน
"ไม่ตอบ ก็แปลว่าใช่สินะ"" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นในที่สุด สายตาแหลมคมราวกับขู่ให้ฉันยอมรับสารภาพ
" " ฉันปิดปากเงียบ ก่อนจะยกแขนขึ้น นิ้วชี้ชี้ไปที่หัวใจของอีกฝ่าย
"ข้อนิ้วหลุดงั้นเหรอ หรือว่าเธอจะเป็นเมทริ " ใบหน้าเผยความตกใจเล็กน้อย หากแต่น้ำเสียงยังเรียบเฉย
"หุบปาก!"
ปัง!
กระสุนพุ่งทะลุหน้าอกด้านซ้ายจนเป็นรูโหว่ ส่วนที่ควรจะมีหัวใจ... อะไรกัน นั่นมัน !
"รู้แล้วสินะ" ชายหนุ่มกล่าวพลางยิ้มที่มุมปาก "ว่าฉัน ก็เป็นเมทริออน"
ไม่ว่าเปล่า ปืนสีเงินวาวถูกทิ้งลงพื้น มือคว้าดาบเล่มยาวที่สะพายไว้ด้านหลังแทน
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ฉันสาดกระสุนเข้าใส่เต็มเหนี่ยว ถึงแม้จะเป็นเมทริออนโดนกระสุนห่าใหญ่เข้าไปก็คงรับไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ
โชคร้ายหน่อยนะที่แกเป็นเหมือนฉัน ถ้าแกเป็นมนุษย์คงได้ตายสบายกว่านี้
ฉัวะ!
เสียงของแหลมฝ่าสายลมดังขึ้นเพียงครั้งเดียว กระสุนทั้งหมดก็ขาดเป็นสองส่วนและร่วงลงสู่พื้นดิน นี่มันอะไรกัน! ดาบที่สามารถตัดกระสุนความเร็วแสงได้ ฉันไม่เชื่อหรอก!
"ทำหน้าแบบนี้ ไม่เชื่อล่ะสิ" รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป คิดจะยั่วโมโหฉันงั้นเหรอ
"ใครจะเชื่อลง!" สิ้นเสียง กระสุนปืนก็พุ่งออกจากนิ้วของฉัน
เขายิ่งยิ้มกว้าง มือกระชับดาบเล่มยาวแน่น
"ถ้าอย่างนั้นจะทำให้ดูเดี๋ยวนี้แหละ" เสียงดังขึ้นพร้อมกับภาพที่ปรากฏต่อสายตา
กระสุนปืนขาดเป็นสองท่อนร่วงลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา
ฉันแทบไม่อยากเชื่อตาตัวเอง แต่ในเมื่อสิ่งที่เห็นคือความจริง ก็ทำเพียงยอมรับมันเท่านั้น
แม้ปืนความไวแสงจะใช้ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะแพ้ หรอกนะ!
"หมดเวลาเล่นแล้ว" ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ก่อนจะพุ่งปราดมาทางฉันพร้อมกระชับดาบเล่มยาวในมือ
คิดว่าฉันใช้แต่ปืนเลยสู้ในระยะประชิดไม่ถนัดงั้นเหรอ
เปิดสวิตช์ METALLICA!
เขาฟาดดาบลงมาหวังจะตัดร่างของฉันเป็นสองส่วน ผิวกายของฉันจากสีเนื้อค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเงินวาววับ นี่แหละร่างที่แท้จริงของฉัน!
เคร้ง!
ดาบเล่มสีดำสนิทหักเป็นสองส่วนทันทีที่กระทบศีรษะของฉัน ตอนนี้มันกลายเป็นเหล็กชนิดพิเศษไปแล้ว ดาบชั้นต่ำไม่มีทางฟันเข้าหรอก!
"อะไรกัน!" เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงตกใจของเขา สมาธิเริ่มแตกกระเจิงแล้วล่ะสิ
โอกาสของฉันมาถึงแล้ว!
หมัดเหล็กกล้าปะทะเข้าที่แก้มซ้ายของเขาเต็มแรง ตามด้วยเข่าและศอก ฉันกระหน่ำโจมตีอีกฝ่ายไม่ยั้ง มือและเท้าประเคนใส่เต็มกำลัง ไม่มีทางให้ตั้งตัวได้หรอก!
ฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของฉัน หากตั้งใจเต็มที่ก็ไม่มีทางแพ้ใครแน่นอน ความจริงแล้วฉันถนัดแบบนี้มากกว่าการใช้ปืนด้วยซ้ำ
ตายซะ! ตายซะ! ตายซะ!
ฉันกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยความรุนแรง จนชายหนุ่มเมทริออนไม่มีโอกาสที่จะหลบแม้แต่ครั้งเดียว แขนซ้ายของเขาฉีกขาดออกก่อน เผยให้เห็นสายไฟด้านในที่จัดเรียงเหมือนกับสายไฟในตัวฉันไม่มีผิด!
ฉันชะงักไปเพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมาโจมตีไม่ยั้งอีกครั้ง เขาจะเป็นอะไรก็ช่าง! จะเหมือนฉันตรงไหนก็ช่าง! ฉันรู้แต่ว่าต้องกำจัดเขาเท่านั้น!
ก่อนที่แขนขวาของชายหนุ่มจะถูกฉันฉีกออก ฉันก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่ด้านหลัง!
แต่เมื่อฉันมองตามไป ไม่พบใครอยู่ตรงนั้น คงรู้สึกไปเองกระมัง
ฉันค่อย ๆ หันหน้ากลับมาที่ชายเมทริออนหวังจะจัดการให้เด็ดขาด ทว่า เขาหายไปแล้ว!
"หาใครอยู่เหรอ"
เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ซึ่งฉันมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงของชายเมทริออนเมื่อครู่แน่
เมื่อฉันหันไปก็พบเจ้าของเสียง ทั้งที่เมื่อครู่ยังมีแต่ความว่างเปล่า ผู้พูดเป็นชายหนุ่มอายุพอ ๆ กับชายเมทริออน ผมสั้นสีเงินของเขาส่องประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ดวงตาคมกริบไร้ความรู้สึกจับจ้องมาที่ตัวฉัน
"ถ้าราฟล่ะก็ ฉันพาไปไว้ตรงนั้นแล้ว" ชายหนุ่มชี้ไปที่กำแพงด้านข้าง ซึ่งชายเมทริออนกำลังนอนพิงอย่างอ่อนแรง
ราฟ คงเป็นชื่อของชายเมทริออนสินะ แล้วเขาคนนี้เป็นเมทริออนเหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าถามคงไม่ได้คำตอบ สู้ทดสอบเองจะเร็วกว่า
ปัง!
กระสุนปืนดังขึ้นในทันที พร้อมกับฝ่ามือของชายหนุ่มที่เป็นรูโหว่ตรงกลาง
"ไม่คิดจะให้สุ้มให้เสียงเลยหรือไง" เขากล่าวออกมาโดยไม่มีท่าทีตกใจกับกระสุนที่พุ่งทะลุมือของตัวเองไป ประสาทของเขาเฉียบคมไม่แพ้ราฟเลย สามารถใช้มือมากันกระสุนได้ในเสี้ยววินาที แม้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรก็เถอะ
เพราะเขาเป็นเมทริออนเหมือนกับราฟ!
"นิ้วนั่น เธอก็เป็นเมทริออนเหมือนกันเหรอ" คำถามเดียวกับราฟดังขึ้นจากปากของเขา "ผมก็เป็นเมทริออน ชื่อลูเซน"
ไม่ได้อยากรู้นักหรอก ชื่อของนายน่ะ แต่ดูเหมือนจะมาดี ควรตอบกลับไปสินะ
"ฉันชื่อ เอเรีย"
ลูเซนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า เขายื่นมือขวาที่ใส่ถุงมือมา พลันปรากฏดาบสีขาวบริสุทธิ์ราวกับสร้างจากแสงสว่างในมือ
>
เคร้ง!
ดาบสีขาวบริสุทธิ์ปะทะกับหมัดเหล็กเต็มแรง ทว่าดาบไม่ได้หักเหมือนที่ฉันคิดไว้ มือของฉันต่างหากที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ !
>
แรงของฉัน ใกล้หมดลงแล้วสินะ การเปิดสวิตช์ METALLICA ทำให้ร่างกายของฉันแข็งแกร่งขึ้น แต่มันก็เผาผลาญพลังงานในตัวมากขึ้นเช่นกัน
ฉัวะ!
ลูเซนฟาดดาบแห่งแสงสว่างมาอีกครั้ง แขนขวาของฉันขาดทั้งท่อนและร่วงลงกระทบพื้น เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ตัวว่าสู้แล้วต้องแพ้ เพราะแรงของฉันหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด จำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นจึงจะกลับมาสมบูรณ์เช่นเดิม อย่างไรฉันก็ไม่มีทางร้องขอชีวิตจากศัตรูแน่
คงต้องเสียสละตัวเอง ตายกันทั้งคู่ไปเลย!
_ คิดได้ดังนั้น ฉันก็รีบพุ่งเข้าใส่ลูเซน มือที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวกอดร่างอีกฝ่ายไว้แน่น เปิดสวิตช์นับถอยหลังการระเบิดตัวเองให้ทำงาน
"ถ้าฉันตาย แกก็ต้องตายด้วย!" ฉันตะโกนเสียงดัง ชายหนุ่มพยายามขัดขืน แต่ฉันก็ทุ่มเทแรงทั้งหมดรั้งเขาไว้ได้
นาฬิกาในตัวฉันเริ่มนับถอยหลังแล้ว
ห้า
ลูเซนใช้ดาบแห่งแสงสว่างปักเข้ากลางลำตัวของฉัน มันไม่ใช่ดาบธรรมดา พลังของมันกำลังกระจายเข้าในระบบต่าง ๆ ของฉัน และมันจะทำให้ระบบเสียก่อนเกิดการระเบิด! แต่ อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียวระเบิดก็จะทำงานแล้ว ฉันต้องรั้งเขาไว้ให้ได้!
สี่
หนึ่งวินาทียาวนานกว่าทุกครั้ง แต่มันก็ไม่นานเกินรอหรอก
สาม
แย่ล่ะ! ฉันไม่เหลือแรงรั้งลูเซนไว้อีกแล้ว เขารีบวิ่งไปหาราฟที่นั่งพิงกำแพงอยู่ แต่ต่อให้เร็วยังไงก็หนีจากระยะของระเบิดไม่ทันหรอก! ยอมรับซะเถอะ
สอง
เขาอุ้มราฟขึ้นมา คิดจะทำอะไรกันนะ อ๊ะ! จู่ ๆ ปีกสีขาวสะอาดก็ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา ไม่ต่างอะไรกับเทพบุตร!
หนึ่ง
ปีกกระพือ และเขาเริ่มออกบิน นี่มันอะไรกัน! อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้วแท้ ๆ แต่กลับติดปีกบินหนีไปได้ ฉันทำได้แค่มองเท่านั้นสินะ เทพบุตรกับนางมารร้าย ระดับช่างห่างไกลกันเสียจริง
ศูนย์
เวลาของฉันหมดลงแล้ว ฉันไม่มีปีกเหมือนเขา ฉันไม่สามารถบินได้ ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
รางวัลของคนที่อยากสร้างความสุขให้ผู้อื่น คือ ความตาย อย่างนั้นหรือ
ตูม!
END Chapter: Real
ผลงานอื่นๆ ของ woratana ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ woratana
ความคิดเห็น